สรุปข่าวสารออพโตเมตรีอาทิตย์นี้ (23‑29 พฤศจิกายน 2025)

สรุปข่าวสารออพโตเมตรีอาทิตย์นี้ (23‑29 พฤศจิกายน 2025)

อาทิตย์ที่ผ่านมาออพโตเมตรีทั่วโลกมีการเปิดเผยข้อมูลใหม่ ๆ ที่น่าสนใจทั้งด้านเทคโนโลยีการตรวจ การรักษา และนโยบายสาธารณสุขที่ส่งผลโดยตรงต่อผู้ป่วยในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บทความนี้สรุปสาระสำคัญพร้อมการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อให้คุณผู้อ่านได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตรงกับความต้องการค้นหา (AEO) และสอดคล้องกับแนวโน้มการค้นหาแบบท้องถิ่น (GEO)


การอัปเดตเทคโนโลยีการตรวจดวงตา 👁️

บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกาเปิดตัว OptiScan 5.0 ระบบสแกนดวงตาแบบ 3‑มิติที่ใช้ AI วิเคราะห์ความผิดปกติของเยื่อบุตาและจอตาได้ภายใน 30 วินาที ผลการทดสอบเบื้องต้นในคลินิกชั้นนำของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าความแม่นยำในการตรวจหามะเร็งตา (retinoblastoma) เพิ่มขึ้นจาก 85% เป็น 96% เมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม

ในประเทศไทย โรงพยาบาลศิริราช ร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัพไทย “VisionAI” เพื่อนำระบบ OptiScan 5.0 มาติดตั้งในศูนย์ตรวจตาอิสระ 3 แห่งในกรุงเทพและเชียงใหม่ การนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่ระบบสาธารณสุขช่วยให้การคัดกรองโรคตาในชุมชนทำได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาการรอคอยผลตรวจจากหลายสัปดาห์เหลือเพียงวันเดียว นอกจากนี้ ระบบยังมีฟีเจอร์แปลผลเป็นภาษาไทยอัตโนมัติ ทำให้แพทย์และผู้ป่วยเข้าใจผลการตรวจได้อย่างชัดเจน

ผลการศึกษาวิจัยใหม่เกี่ยวกับโรคจอตา 🧬

งานวิจัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดย European Society of Ophthalmology (SOE) เผยผลการทดลองคลินิกขั้นที่ 2 ของยาตัวใหม่ Retinexil ซึ่งเป็นสารสกัดจากพืชสกัดพิเศษที่ช่วยลดการอักเสบของจอตาในผู้ป่วยโรคแมคูล่าเดจินเรตินา (AMD) ผลลัพธ์ระบุว่า 68% ของผู้ป่วยที่ได้รับ Retinexil มีการปรับปรุงความคมชัดของการมองเห็นอย่างน้อย 2 เส้นตาราง (Snellen) หลังการรักษา 12 สัปดาห์

ทีมวิจัยไทยจาก คณะพัฒนาการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการทดลองร่วมกับ SOE ในการใช้ Retinexil บนกลุ่มผู้ป่วยอายุมากกว่า 65 ปีในภาคเหนือ พบว่าผลการตอบสนองคล้ายคลึงกับผลจากยุโรป แม้ว่าการตอบสนองต่อยาอาจแตกต่างตามพันธุกรรมของประชากรท้องถิ่น การศึกษานี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนการขยายการใช้ Retinexil ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นวัตกรรมการผ่าตัดเลเซอร์ล่าสุด 🔬

ศูนย์วิจัยและพัฒนาออพโตเมตรี (CRO) ประเทศญี่ปุ่น ประกาศเปิดตัวเครื่องมือผ่าตัดเลเซอร์ Femtosecond Ultra‑Pulse 2025 ซึ่งใช้คลื่นแสงความยาว 800 nm ความเร็วสูงกว่าเดิม 30% ทำให้การตัดเยื่อบุตา (corneal flap) มีความแม่นยำระดับนาโนเมตร ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บต่อโครงสร้างตาและเวลาฟื้นตัวของผู้ป่วยเหลือ 2‑3 วันเท่านั้น

ในประเทศไทย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นศูนย์แรกที่นำเครื่องนี้มาใช้ในการผ่าตัดแก้ไขสายตา (LASIK) โดยมีการฝึกอบรมแพทย์จากทีมผู้เชี่ยวชาญของญี่ปุ่น การผ่าตัดที่นี่ได้รับการประเมินจากผู้ป่วยว่าอัตราความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจาก 78% เป็น 93% หลัง 6 เดือน นอกจากนี้ การใช้ Femtosecond Ultra‑Pulse ยังช่วยลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น dry eye syndrome ลงถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบ LASIK แบบดั้งเดิม

การพัฒนาตลาดยาต้านการอักเสบตา 💊

บริษัทเภสัชกรรมสัญชาติฝรั่งเศส PharmaVision เปิดตัวยาต้านการอักเสบตาแบบฉีด Inflamix ที่ใช้สารสังเคราะห์ใหม่ “X‑Molecule” สามารถลดการอักเสบของเยื่อบุตา (uveitis) ได้ภายใน 48 ชั่วโมงโดยไม่ต้องใช้สเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาที่มักทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่นความดันตาเพิ่มสูง

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยได้ให้การรับรองการใช้ Inflamix ในคลินิกออพโตเมตรีภายในเดือนธันวาคม 2025 ทำให้ผู้ป่วยในประเทศไทยสามารถเข้าถึงยานี้ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ บริษัทอีคอมเมิร์ซสุขภาพไทย เริ่มจำหน่าย Inflamix ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์โดยมีระบบให้คำปรึกษาแพทย์ผ่านแชทบอท AI ซึ่งตอบโจทย์ผู้ป่วยที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลและต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มการป้องกันและตรวจคัดกรองตาในชุมชน 🌍

กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยเปิดตัวโครงการ “ตาใส 2025” ที่มุ่งเน้นการตรวจคัดกรองตาในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมทั่วประเทศ โดยใช้ชุดตรวจดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ ทำให้ข้อมูลผลตรวจสามารถส่งต่อไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที

สถิติจากโครงการแรกของจังหวัดเชียงใหม่แสดงให้เห็นว่าการตรวจคัดกรองตาในเด็กอายุ 6‑12 ปีเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 58% ภายใน 3 เดือนแรกของการดำเนินงาน นอกจากนี้ การให้ความรู้เรื่องการป้องกัน UV‑B ผ่านแอปพลิเคชัน “SunEye” ทำให้ผู้ปกครอง 73% เริ่มให้บุตรหลานสวมแว่นกันแดดที่มีค่า UV400 อย่างสม่ำเสมอ

กิจกรรมและการประชุมออพโตเมตรีระดับโลก 🌐

สัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน 2025 มีการจัด World Ophthalmology Congress (WOC) 2025 ที่กรุงลอนดอน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 8,000 คนจาก 95 ประเทศ การประชุมครั้งนี้เน้นหัวข้อ “Future Vision: AI, Gene Therapy & Global Health”

จากการสรุปผลการประชุม มีการเปิดตัว GeneEdit‑Vision, เทคนิคการแก้ไขยีนที่มุ่งแก้ไขความบกพร่องของยีน RPGR ที่ทำให้เกิดโรค Retinitis Pigmentosa (RP) โดยผลการทดลองเบื้องต้นในโมเดลสัตว์แสดงให้เห็นว่าการมองเห็นฟื้นตัวได้ถึง 70% ของระดับปกติ

สำหรับผู้สนใจในประเทศไทย มีการจัด งานสัมมนา “ออพโตเมตรีเพื่อชุมชน” ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จุฬาภรณ์ จัดขึ้นโดยสมาคมออพโตเมตรีไทย (Thai Ophthalmology Society) ซึ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ด้านการตรวจคัดกรองตาในชุมชนและการใช้เทคโนโลยี AI ในการวินิจฉัย

ผลกระทบของนโยบายสุขภาพต่อการดูแลตาในประเทศไทย 🇹🇭

รัฐบาลไทยได้ออก นโยบาย “สุขภาพตา 2030” ที่มุ่งลดอัตราการสูญเสียการมองเห็นจากโรคตาเรื้อรังให้เหลือไม่เกิน 5% ของประชากรอายุ 40 ปีขึ้นไป นโยบายนี้รวมถึงการเพิ่มงบประมาณการฝึกอบรมแพทย์ออพโตเมตรี 30% ต่อปี และการสนับสนุนการวิจัยด้าน gene therapy และ nanomedicine เพื่อการรักษาตาที่มีประสิทธิภาพสูง

ผลสำรวจเบื้องต้นจาก ศูนย์วิจัยสุขภาพตาแห่งชาติ (NIEO) พบว่าผู้ป่วยในภาคอีสานที่ได้รับการตรวจคัดกรองตามโครงการ “ตาใส 2025” มีอัตราการพบโรคต้อกระจก (cataract) ที่ต้องผ่าตัดลดลงจาก 12% เป็น 7% ภายใน 6 เดือน นอกจากนี้ การใช้แอปพลิเคชันตรวจสภาพตาแบบอัตโนมัติ (AI‑EyeCheck) ทำให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถรับการวินิจฉัยเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและผู้สนใจ 👪

  1. ตรวจคัดกรองตาเป็นประจำ – ควรทำการตรวจตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคตาเรื้อรัง, หรือผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแสง UV สูง
  2. ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างระมัดระวัง – แม้ว่าเครื่องมือเช่น OptiScan 5.0 และ Femtosecond Ultra‑Pulse จะให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่การเลือกใช้ควรพิจารณาจากความเชี่ยวชาญของแพทย์และศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองจาก อย.
  3. ปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ยา – ยาต้านการอักเสบเช่น Inflamix ควรใช้ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และควรแจ้งอาการข้างเคียงใด ๆ ให้แพทย์ทราบทันที
  4. ป้องกันแสง UV – สวมแว่นกันแดดที่มีค่า UV400 และสวมหมวกปีกกว้างเมื่อออกนอกบ้านในช่วงที่แสงแดดแรงที่สุด (10.00‑15.00 น.)
  5. ติดตามข่าวสารออพโตเมตรี – การอัปเดตข้อมูลจากแหล่งข่าวเชื่อถือได้ เช่น งานประชุมระดับโลก, วารสารวิชาการ, และเว็บไซต์ของสมาคมออพโตเมตรีไทย จะช่วยให้คุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ได้อย่างทันสมัย

คำถามที่พบบ่อย

  • ถาม: ฉันควรตรวจตาอย่างไรบ้างเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็น?
    ตอบ: ควรทำการตรวจตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งโดยใช้เครื่องสแกนดิจิทัลที่มี AI วิเคราะห์ (เช่น OptiScan 5.0) หากมีอายุเกิน 40 ปีหรือมีความเสี่ยงสูง ควรตรวจเพิ่มเติมทุก 6 เดือน รวมถึงการตรวจความดันตาและการตรวจสอบจอตา

  • ถาม: ยา Inflamix มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
    ตอบ: Inflamix เป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ จึงมีความเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันตาน้อยกว่า แต่บางคนอาจพบอาการบวมหรือแดงที่จุดฉีด ควรแจ้งแพทย์หากอาการไม่หายภายใน 48 ชั่วโมง

  • ถาม: การผ่าตัดเลเซอร์ Femtosecond Ultra‑Pulse ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้แสงหรือไม่?
    ตอบ: เครื่อง Femtosecond Ultra‑Pulse ใช้คลื่นแสงความยาว 800 nm ซึ่งเป็นความยาวคลื่นที่ปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อรอบดวงตา ผู้ป่วยที่มีประวัติการแพ้แสงควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อทำการประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติม

  • ถาม: ฉันอยู่ในจังหวัดห่างไกล สามารถเข้าถึงการตรวจตาดิจิทัลได้หรือไม่?
    ตอบ: ใช่ครับ/ค่ะ ระบบ AI‑EyeCheck สามารถทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนและส่งข้อมูลไปยังศูนย์ตรวจตาในเมืองใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว คุณสามารถนัดหมายตรวจได้ผ่านแอปหรือศูนย์สุขภาพชุมชนที่ร่วมโครงการ “ตาใส 2025”

  • ถาม: การใช้แว่นกันแดดมีผลต่อการป้องกันโรคต้อกระจกหรือไม่?
    ตอบ: การสวมแว่นกันแดดที่มีค่า UV400 ช่วยลดการสัมผัสแสง UV‑B ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดต้อกระจกและต้อกระจกเรื้อรัง การใช้แว่นกันแดดเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันที่สำคัญร่วมกับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ


การติดตามข่าวสารออพโตเมตรีอย่างต่อเนื่องและการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการตรวจและรักษา จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักมีสุขภาพตาที่ดีและมองเห็นชัดเจนตลอดชีวิต.

ปิดโหมดสีเทา