ผลการทบทวนระบบแสดงว่าการสูญเสียสนามมองเห็นจากต้อหินทำให้การขับรถเสี่ยงอันตราย
การสูญเสียสนามมองเห็นจากต้อหิน (Glaucoma) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางสายตาเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยบนถนน การขับรถต้องอาศัยการมองเห็นที่ครบถ้วนและตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว หากสนามมองเห็นถูกจำกัด ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะสรุปผลการทบทวนระบบ (Systematic Review) ล่าสุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างต้อหินกับอุบัติเหตุทางถนน พร้อมแนวทางป้องกันและการจัดการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีภาวะต้อหิน
1. ต้อหินคืออะไรและทำไมถึงทำให้สนามมองเห็นแคบ? 👁️
ต้อหินเป็นโรคที่ทำให้ความดันภายในลูกตา (Intra‑ocular Pressure – IOP) สูงขึ้น ส่งผลให้เส้นประสาทตา (Optic Nerve) ถูกทำลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเสียหายนี้มักเริ่มจากส่วนรอบนอกของสนามมองเห็น (peripheral vision) ก่อนที่จะลุกลามไปยังศูนย์กลาง การสูญเสียส่วนนี้ทำให้ผู้ป่วยมองเห็น “ช่องว่าง” รอบด้านซ้ายและขวา ซึ่งอาจไม่สังเกตได้จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ
2. ผลการทบทวนระบบที่สำคัญ 📊
การทบทวนระบบที่รวบรวมข้อมูลจาก 27 งานวิจัยทั่วโลก พบว่า:
- ผู้ที่มีต้อหินระดับกลางถึงรุนแรงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่า 1.8‑2.3 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะนี้
- ความสัมพันธ์นี้ชัดเจนที่สุดในผู้ขับรถอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเกิดต้อหินสูงที่สุด
- การสูญเสียสนามมองเห็นด้านซ้ายหรือด้านขวา (monocular field loss) ทำให้การประเมินระยะห่างและความเร็วของยานพาหนะที่เข้ามาใกล้เคียงยากขึ้นถึง 30‑40 %
3. กลไกที่ทำให้การขับรถเสี่ยงอันตราย 🚗
- การตรวจจับวัตถุจากด้านข้างช้า – เมื่อสนามมองเห็นด้านข้างลดลง ผู้ขับอาจไม่เห็นยานพาหนะหรือจักรยานที่เข้ามาใกล้จากด้านข้างทันเวลา
- การประเมินระยะห่างผิดพลาด – การมองเห็นส่วนศูนย์กลางอาจยังคงดี แต่การประมวลผลข้อมูลจากส่วนรอบข้างที่หายไปทำให้การคำนวณระยะห่างกับอุปกรณ์อื่น ๆ ผิดพลาด
- การตอบสนองต่อสัญญาณจราจร – สัญญาณไฟจราจรหรือป้ายบอกทางที่อยู่ด้านข้างอาจไม่ถูกมองเห็น ทำให้การตัดสินใจหยุดหรือเร่งผิดพลาด
4. สถิติอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับต้อหินในประเทศไทย 📈
- จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก (2022) พบว่าผู้ขับรถที่มีการวินิจฉัยต้อหินเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนน 4.2 % ของทั้งหมด
- ผู้ป่วยต้อหินที่อายุ 60‑74 ปี มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงกว่า 1.5 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ขับที่ไม่มีโรคตา
5. ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่ควรระวัง ⚠️
- การใช้แว่นตาแก้ไขสายตาไม่เหมาะสม – หากแว่นตาไม่ได้ออกแบบให้ครอบคลุมมุมมองด้านข้างอาจทำให้ “blind spot” แย่ลง
- การใช้ยาต้อหินที่ทำให้มึนศีรษะ – บางยาต้านความดันตาอาจมีผลข้างเคียงทำให้ความสามารถในการโฟกัสลดลง
- สภาพแสงน้อย – การขับในเวลากลางคืนหรือสภาพอากาศฝนตกทำให้การตรวจจับสิ่งกีดขวางยากขึ้นมากกว่าเดิม
6. การตรวจคัดกรองและการประเมินสนามมองเห็น 🩺
- การตรวจสอบสนามมองเห็น (Visual Field Test) – ควรทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือบ่อยกว่านั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงอาการ
- การวัดความดันตา (Tonometry) – เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการควบคุม IOP
- การตรวจสอบการตอบสนองต่อแสง (Pupillary Light Reflex) – ช่วยประเมินการทำงานของเส้นประสาทตาโดยรวม
7. แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ขับรถที่มีต้อหิน 🚦
- ปรับแว่นตาให้ครอบคลุมมุมมองด้านข้าง – เลือกกรอบแว่นที่มีขอบกว้างหรือใช้แว่นตาแบบ “wrap‑around”
- ใช้ระบบช่วยขับ (ADAS) – ระบบเตือนการออกนอกเลน, ระบบตรวจจับอุปสรรคด้านข้าง, หรือระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ สามารถชดเชยการมองเห็นที่จำกัดได้
- หลีกเลี่ยงการขับในสภาพแสงน้อย – หากจำเป็น ควรใช้ไฟหน้าแบบ LED ที่มีความสว่างสูงและปรับมุมแสงให้เหมาะสม
- วางแผนเส้นทางล่วงหน้า – เลือกเส้นทางที่มีการจราจรค่อนข้างคงที่และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลนบ่อย ๆ
- ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ – การพบแพทย์ตาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ควบคุมความดันตาและตรวจพบการสูญเสียสนามมองเห็นได้เร็ว
8. กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการขับรถของผู้มีปัญหาสายตา 📜
- ตามกฎหมายจราจรไทย ผู้ขับรถต้องมี “ความสามารถในการมองเห็นที่เพียงพอ” เพื่อให้ได้ใบขับขี่ประเภทที่ต้องการ
- ผู้ที่มีการสูญเสียสนามมองเห็นกว่า 20 % ของพื้นที่ทั้งหมดอาจต้องทำการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการมองเห็น (Occupational Vision Specialist) ก่อนต่ออายุใบขับขี่
- หากพบว่าผู้ขับไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดใบขับขี่และสั่งให้ทำการตรวจสุขภาพตาเพิ่มเติม
9. การใช้เทคโนโลยีเสริมเพื่อความปลอดภัยบนถนน 📱
- แอปพลิเคชันตรวจสนามมองเห็น – มีแอปที่ให้ผู้ใช้ทำการทดสอบสนามมองเห็นเบื้องต้นบนสมาร์ทโฟน เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนไปพบแพทย์
- อุปกรณ์เสริม AR (Augmented Reality) – แว่นตา AR สามารถแสดงข้อมูลเส้นทางและเตือนอุปสรรคจากด้านข้างในรูปแบบภาพซ้อนทับบนมุมมองจริง
- ระบบเตือนการเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ – ทำงานโดยใช้กล้องและเซ็นเซอร์ตรวจจับยานพาหนะในช่องว่างด้านข้างและส่งสัญญาณเตือนผู้ขับทันที
10. การดูแลสุขภาพตาเพื่อป้องกันการสูญเสียสนามมองเห็นในระยะยาว 🌿
- ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาล – โรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่ม IOP
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – การเดินเร็วหรือว่ายน้ำช่วยลดความดันตาได้บางส่วน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ – การสูบบุหรี่ทำให้การไหลเวียนของเลือดในตาลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมของเส้นประสาทตา
- รับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ – เช่น แครอท, ส้ม, ผักโขม ช่วยบำรุงเซลล์ตา
11. สรุปภาพรวมและข้อเสนอแนะสำหรับผู้ขับรถที่มีต้อหิน 🏁
การสูญเสียสนามมองเห็นจากต้อหินเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนอย่างชัดเจน การตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง การใช้เทคโนโลยีช่วยขับ และการปรับพฤติกรรมการขับรถให้สอดคล้องกับสภาพการมองเห็นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง ผู้ขับที่ได้รับการวินิจฉัยควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ตาอย่างเคร่งครัด และพิจารณาใช้ระบบช่วยขับหรืออุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนถนน
คำถามที่พบบ่อย
-
ถาม: ฉันมีต้อหินระดับเบาแล้วควรทำอย่างไรเพื่อความปลอดภัยในการขับรถ?
ตอบ: ควรตรวจสนามมองเห็นทุก 6‑12 เดือน ใช้แว่นตาแบบ wrap‑around ที่ครอบคลุมมุมมองด้านข้าง และพิจารณาติดตั้งระบบเตือนการออกนอกเลนหรือระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติในรถ -
ถาม: มีอาการใดบ้างที่บ่งบอกว่าการสูญเสียสนามมองเห็นเริ่มส่งผลต่อการขับรถ?
ตอบ: พบว่ามี “blind spot” เพิ่มขึ้น, ไม่สังเกตยานพาหนะจากด้านข้าง, หรือมีอาการต้องหมุนศีรษะบ่อยเพื่อมองเห็นสิ่งรอบข้าง -
ถาม: ถ้าผมต้องขับในเวลากลางคืน ควรทำอย่างไรบ้าง?
ตอบ: ใช้ไฟหน้า LED ที่มีความสว่างสูง ปรับมุมไฟให้ไม่ทำให้แสงสะท้อน, สวมแว่นตาที่มีฟิลเตอร์ลดแสงจ้า และหลีกเลี่ยงการขับบนถนนที่มีแสงส่องสว่างน้อยเกินไป -
ถาม: การใช้ยาต้อหินบางชนิดทำให้ฉันมึนศีรษะ ควรทำอย่างไร?
ตอบ: ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า และตรวจสอบการมองเห็นหลังเปลี่ยนยาเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยต่อการขับ -
ถาม: ระบบ ADAS สามารถทดแทนการสูญเสียสนามมองเห็นได้ทั้งหมดหรือไม่?
ตอบ: ระบบ ADAS ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก แต่ไม่สามารถทดแทนการมองเห็นของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ ผู้ขับควรยังคงตรวจสอบสภาพแวดล้อมด้วยตาและใช้ระบบช่วยขับเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนเท่านั้น
แอดไลน์ @187ynehr 
